วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

[Crossover ROTG*Frozen Fanfic] Villain Valentine




วาเลนไทน์


สำหรับเอเรนเดลล์แล้วมันไม่ใช่วันแห่งความรัก โอเค ก็ไม่เชิงว่าไม่ใช่เสียทีเดียว แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วมันยังเป็นวันเฉลิมฉลอง...สำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะสิ้นสุดลง เป็นช่วงที่ดอกไม้จะผลิบานท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน ยอดอ่อนของไม้เริ่มผลิใบผุดขึ้นจากแผ่นน้ำแข็ง สรรพสัตว์ที่จำศีลเริ่มแย้มเปลือกตาขึ้นรับแสงตะวันพร้อมรอยยิ้ม แค่นึกถึงช่วงเวลานั้น ก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังล่องลอยไปตามสายลมแล้วใช่มั้ยล่ะ!


 แน่นอนว่าช่วงเวลาที่แสนวิเศษนั้น...การได้ดื่มด่ำกับมันคนเดียวก็สงบสุขดีอยู่ แต่คงจะวิเศษกว่าถ้ามีคนเคียงคู่รู้ใจร่วมสัมผัสกับความสวยงามนั้นไปด้วยกันอย่างหวานชื่น และแน่นอนว่าถ้าคงจะวิเศษที่สุด...ถ้าได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วยกันกับทุกคนอย่างสนุกสนาน!


...เทศกาล!


เจ๋งใช่มั้ย!? จัดเทศกาลกันเถอะนะ!”


เพราะเจ้าหญิงเพียงองค์เดียวของเมืองร่ำร้องเช่นนั้นเอง ปีนี้เทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิในเอเรนเดลล์จึงถูกจัดขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ผิดไปจากทุกปี


อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น ก็แค่เวลาที่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนมาถึงเท่านั้นเอง ปกติทุกๆ ปี บรรดาร้านค้าร้านขายก็จะตกแต่งประดับประดาร้านของตนให้เข้ากันกับฤดูกาลอยู่แล้ว ใช่ว่าจะจืดชืดไร้สีสันเสียหน่อย เพียงแต่ปีนี้อันนาต้องการอะไรที่พิเศษกว่านั้น! เพราะอะไรน่ะหรือ...


ก็นี่น่ะ! เป็นฤดูใบไม้ผลิแรกหลังจากราชินีเอลซ่าขึ้นครองราชย์เชียวนะ!


อีกทั้งนับตั้งแต่เสด็จพ่อเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ไป เอเรนเดลล์ก็ไม่เคยมีเทศกาลรื่นเริงอีกเลย แถมเทศกาลนี้น่ะนะ... ตรงกับวันแห่งความรักยังไงล่ะ วัน แห่ง ความ รัก!


ถึงแม้ตัวเจ้าหญิงอันนาจะมีพระคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว แต่พี่สาวคนสวยของเธอกลับยังโสดสนิทศิษย์ส่ายหน้า แม้จะโดนน้องสาวพูดกรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าให้หาใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาภาระ แต่เอลซ่าก็จะเพียงแค่ยิ้มรับเงียบๆ เท่านั้น เรื่องนี้ทำเอาอันนาเซ็งบุ่ยมากมาย ขอบอก


เจ้าหญิงน้อยตั้งปณิธานกับตัวเองอยู่เงียบๆ


วันแห่งความรักนี้จะต้องทำให้เอลซ่าเลิกบ้างานให้ได้!


โอเค ยังไม่ต้องถึงกับหาแฟน หรือมีคนรู้ใจหรอก ยอมรับตามตรงว่าเธอเองก็ยังไม่พร้อมให้พี่สาวมีใครเคียงคู่เหมือนกัน ก็เธอเพิ่งจะได้พี่สาวกลับคืนมาเองนี่นา ขอครอบครองไว้คนเดียวก่อนจะเป็นไรไป หวงอะเข้าใจมะ? นี่ล่ะอภิสิทธิ์ของคนเป็นน้องสาวผู้น่ารักล่ะ!


แต่ก็นั่นล่ะ ช่วงเวลาสิบสามปีที่กักขังเอลซ่าไว้ภายในห้องได้เปลี่ยนเอลซ่าให้กลายเป็นคนละคน แม้เนื้อแท้แล้วจะยังคงเหมือนเดิม แต่ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี แน่ล่ะ ไม่มีทางที่เอลซ่าจะไม่ดีอยู่แล้ว!


เพียงแต่ว่า...


เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในยามดึกแล้วยังเห็นไฟในห้องทรงงานยังไม่ถูกดับลง...อันนาก็รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในอก ราชินีทรงงานหนักทุกวันทุกคืน ถึงจะห่วงแสนห่วงเพียงใด แต่บรรดาข้าราชบริพารก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ใครกันล่ะที่จะกล้าพูดให้ราชินีของตนอู้งานเสียบ้าง ในเมื่อสิ่งที่พระองค์ทุ่มเทให้นั้นเป็นไปเพื่อความผาสุกของประชาชน


ใครกันล่ะที่จะสามารถเข้าไปก้าวก่าย...


ใครกันที่จะกล้าแย่งงานของราชินีแห่งเอเรนเดลล์


แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เธอแล้ว จะเป็นใคร!




“อันนา? ทำอะไรอยู่น่ะ” เอลซ่าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเธอตื่นเช้ามาและพบว่าอันนาไม่ได้กำลังป่วนคนครัวอย่างที่เคย แต่กลับนั่งอยู่ในห้องทรงงานของเธอแทน


โต๊ะเก้าอี้ชุดเล็กๆ ที่ไม่รู้นำมาวางเอาไว้ในห้อง ข้างๆ โต๊ะทรงงานของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ถูกจับจองด้วยร่างของน้องสาว ดวงตาสีครามละจากเอกสารที่อยู่ในมือ คิ้วที่ขมวดมุ่นพลันคลายออกเป็นรอยยิ้มกว้างสดใสเบิกบานยามเมื่อมองพี่สาวของตนที่ยืนอยู่หน้าประตู “ฉันกำลังทำงานยังไงล่ะ!”


“งาน?” สีหน้าของราชินียิ่งทวีความฉงนสงสัยหนักกว่าเดิม


“โธ่ ก็งานเทศกาลไง! ที่ฉันบอกไปน่ะ พี่ลืมแล้วเหรอ พี่เป็นคนอนุญาตให้จัดเองนะ!”


เมื่อได้ฟังคำตอบนั้นแล้วหญิงสาวจึงค่อยทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ถึงกระนั้น... “แล้วเธอทำงานอะไร?” มันก็ยังน่าสงสัยอยู่ดีที่อันนาจะยอมนั่งโต๊ะแล้วอ่านเอกสารพวกนี้ เธอนึกว่าอันนาจะวิ่งปร๋อเข้าเมืองแล้วจัดการเสกให้ทุกที่ที่เธอวิ่งผ่านเกิดฤดูใบไม้ผลิเสียอีก ถึงแม้อันนาจะไม่ได้มีเวทมนต์แต่กำเนิดเหมือนกับเธอ แต่เจ้าหญิงน้อยกลับมีอำนาจเช่นนั้นจริงด้วยเสียงหัวเราะและความสดใสของตนเอง


เอลซ่าก้าวเท้าเข้าไปภายในห้อง หมายจะเดินไปดูว่ากองเอกสารที่แทบจะท่วมเกลื่อนโต๊ะนั้นคืออะไร หากทว่ายังไม่ทันได้วางปลายเท้าบนผืนพรม เสียงตะโกนของอันนาก็หยุดเธอเอาไว้เสียก่อน “อ๊ะ! พี่ห้ามเข้ามานะ!”


ดวงตาสีฟ้ากะพริบปริบจ้องมองพระขนิษฐาอย่างต้องการคำตอบ ดูจากคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากันนิดๆ นั่นแล้ว ขืนคำตอบไม่เป็นที่พอพระทัย น้องสาวก็น้องสาวเถอะ อันนาอาจจะได้ลิ้มรสการโดนสายตาพิฆาตที่ทำเอาขุนนางอำมาตย์ตัวสั่นมานักต่อนักแล้วก็เป็นได้


“ก็...งานนี้ฉันจะเป็นคนทำเอง พี่ห้ามแอบดูนะ!” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพี่สาวยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลง อันนาจึงรีบเอ่ยสำทับ “น่า ฉันขอเป็นคนทำนะ พี่ไม่เชื่อมือฉันเหรอ”


...เชื่อสิ เชื่อมากๆ ...เชื่อว่าจะต้องเกิดเรื่องโกลาหลแน่...


“ยะฮู้วววว ทำอะไรกันอยู่น่ะ อันนา เอลซ่า!” ยังไม่ทันที่เอลซ่าจะได้ตอบอะไร เสียงสดใสร่าเริงของโอลาฟก็ดังมาจากโถงทางเดิน เจ้าตุ๊กตาหิมะวิ่งด้วยท่าทางเหมือนกำลังไถลลื่นมาหยุดอยู่ตรงหน้าเอลซ่าพอดี “อะไรๆ เล่นอะไรกันอยู่เหรอ ให้ฉันเล่นด้วยสิ!”


“นี่ไง! มีโอลาฟคอยช่วยอยู่ด้วย ฉันไม่ทำเสียเรื่องหรอกน่า!”


...ยิ่งน่ากังวลหนักกว่าเดิมเกินเท่าตัว...


“เอลซ่า เชื่อใจฉันนะ!”


เมื่อมองสีหน้าเอาจริงเอาจังของอันนาแล้ว คำปฏิเสธที่กำลังจะเอ่ยออกไปก็กลับแข็งค้างอยู่ในลำคอเสียดื้อๆ ยิ่งมองเข้าไปในดวงตาของหนึ่งคน หนึ่งตุ๊กตาหิมะแล้ว เธอก็ยิ่งรู้สึกอ่อนใจเหลือกำลัง


...สุดท้ายแล้วราชินีหิมะก็ได้แต่ทอดถอนใจ “ตกลง”


“เย้!!” อันนาชูมือขึ้น แทบจะกระโดดตัวลอย ไม่สิ ไม่แทบจะล่ะ เธอกระโดดผลุงลุกจากโต๊ะทำงานวิ่งมาคว้ามือเอลซ่าเอาไว้พลางหมุนตัวราวกับกำลังเต้นรำ แต่ขณะเดียวกันเธอก็ดึงพี่สาวออกไปนอกห้อง รู้ตัวอีกทีเอลซ่าก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่กลางโถงทางเดินเสียแล้ว


“เย้!” โอลาฟไม่รู้ล่ะว่าเย้อะไร แต่ในเมื่อดูอันนามีความสุขเสียขนาดนั้น งั้นเขาจะเย้ด้วยก็ได้!


“เดี๋ยว เดี๋ยวสิ แล้วงานของพี่ล่ะ?”


“โธ่ เอลซ่า แค่วันนี้วันเดียว ไม่สิ พรุ่งนี้ด้วย กลายเป็นสองวัน พรุ่งนี้พี่ห้ามทำงานนะ เทศกาลของฉัน กฎของฉัน ฉันขอออกกฎว่าในวันพรุ่งนี้ห้ามราชินีแห่งเอเรนเดลล์ทำงานอย่างเด็ดขาด พี่จะต้องไปร่วมงานเทศกาลนะ ห้ามอุดอู้อยู่ในห้อง!”


“ถ้าอย่างนั้นให้พี่เข้าไปเอางาน...” ร่างสูงระหงก้าวหลบร่างของน้องสาว ตั้งท่าจะเดินเข้าไปในห้องอีกครั้งหนึ่ง หากทว่าสองมือของอันนากลับจับบ่าเธอ ยุดเอาไว้ไม่ให้ไปไหนพลางเอ่ยเสียงหวาน


“พี่จ๋า พี่ไม่ได้นั่งอ่านหนังสือสบายๆ มานานแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าจะไปเดินเล่นชมเมืองก็ได้ เป็นราชินีที่ดีต้องไม่ห่างเหินกับพสกนิกรไม่ใช่เหรอ อันนี้พี่เป็นคนบอกฉันเองนะ!”


“แต่เอกสาร...”


“เอกสารพวกนั้นน่ะรอได้ แต่ชาวเมืองอาจจะรอไม่ได้ก็ได้นะ!


เห็นความพยายามอย่างยิ่งยวดของน้องสาวในการกีดกันไม่ให้เธอก้าวเข้าไปในห้องทรงงานแล้วเอลซ่าก็ได้แต่ถอนหายใจ “สัญญากับพี่อย่างหนึ่ง ห้ามก่อเรื่องยุ่งนะ”


“ได้เลย ฉันสัญญา!” อันนาตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว เจ้าหญิงน้อยดุนหลังของพี่สาวให้เดินห่างออกจากห้องทรงงาน


“แน่นะ?”


“แน่นอน!” อันนายืนตัวตรง ชูสามนิ้วเป็นการสาบาน


เมื่อน้องสาวรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะขนาดนั้นแล้ว ถึงแม้ราชินีแห่งเอเรนเดลล์จะยังคงมีสายตาเคลือบแคลงแต่ท้ายที่สุดก็ยอมตัดใจ


“ตกลง พี่จะเชื่อใจเจ้าแล้วกัน”


“เชื่อมือฉันได้เลย!”


เอลซ่ามองรอยยิ้มกว้างพร้อมทั้งท่าทีกระโดดโลดเต้นของน้องสาวแล้วก็ได้แต่ภาวนาให้วันนี้กับพรุ่งนี้อย่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย




“อ๊ะ ราชินี”


“ราชินีเสด็จ”


“ราชินีเอลซ่า”


เมื่อก้าวเท้าออกจากเขตพระราชวังเข้าสู่ตัวเมือง เสียงทักทายก็ดังขึ้นรอบทิศรอบทาง เอลซ่าหันไปยิ้มให้ชาวเมืองโดยรอบซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ยิ้มตอบกลับมา “ทำงานของพวกเจ้าต่อเถอะ เราแค่มาเดินเล่นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเราหรอก”
เพื่อป้องกันปัญหาเป็นจุดสนใจ เอลซ่าจึงเลือกชุดเรียบๆ เหมือนชุดของชาวบ้านทั่วไป ชุดกระโปรงยาวสีขาวเดินลวดลายด้วยสีฟ้าน้ำแข็งอ่อนจาง ถ้าอยู่บนร่างของคนอื่นอาจจะธรรมดาจนถึงขั้นจืดชืด แต่เมื่อมันอยู่บนร่างของราชินีหิมะแล้ว...เจ้าหล่อนก็ดูราวกับภูตตัวน้อยๆ ที่ออกมาล่ำลากับสายลมหนาวอย่างไรอย่างนั้น


ถึงเอลซ่าจะบอกว่าไม่ต้องสนใจ แต่ใครกันล่ะที่จะละสายตาจากราชินีผู้ไม่ค่อยได้ออกมาให้เห็นหน้าเห็นตาได้! ดูเหมือนอันนาจะเริ่มสั่งงานไปบ้างแล้ว ตามท้องถนนจึงมีข้าหลวงอยู่ทุกหนแห่ง บ้างก็กำลังจัดแต่งสถานที่ บ้างก็กำลังเจรจาต่อรองขอซื้อสิ่งจำเป็น เนื่องจากว่าอันนาไม่ยอมให้เธอรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หญิงสาวจึงไม่รู้รายละเอียดว่าพวกเขากำลังทำอะไร ทว่าแต่ละคนพอเห็นราชินีของตนเดินมาก็พากันหยุดมือพลางทำท่าเหมือนจะซ่อนสิ่งที่ตนกำลังทำเอาไว้สุดชีวิตอย่างนั้นล่ะ ถึงแม้การซ่อนน้ำพุที่จัตุรัสจะค่อนข้างยากสักหน่อยก็เถอะ


เอลซ่ายิ้มเจื่อนๆ เมื่อข้าหลวงของเธอคนหนึ่ง(ที่ตอนนี้กลายเป็นลูกมือของอันนาไปแล้ว)พยายามเอาตัวเข้าบังกระถางดอกไม้ราวๆ สิบกระถาง...ซึ่งประเมินด้วยสายตาแล้วกระถางหนึ่งก็สูงแค่เมตรกว่าๆ เท่านั้นเอง...


“เราจะไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่สักหน่อย เชิญพวกท่านทำงานกันต่อเถอะ” เมื่อรู้สึกว่ายิ่งตัวเองอยู่ จะยิ่งเป็นการสร้างความลำบากในการทำงานของทุกคน เอลซ่าจึงตัดสินใจเอ่ยลาพลางเลี่ยงออกมาจากตัวเมือง เธอยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้ข้าหลวงที่กำลังขะมักเขม้นทำงานอยู่ตามมาอารักษ์ขาคุ้มครอง “ไม่จำเป็นต้องตามมาหรอก ขอบคุณพวกท่านมาก แต่เราดูแลตัวเองได้”


เรื่องนี้คงไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ ในเมื่อราชินีของพวกเขามีพรวิเศษอันแสนล้ำเลิศอยู่นี่นา!




ร่างบอบบางค่อยๆ สืบเท้าขึ้นไปบนเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง...บนเนินนั้นมีแผ่นหินใหญ่อยู่สองก้อน แผ่นหินสีดำสนิทขับให้บรรยากาศบนเนินเขาแห่งนั้นแลดูเงียบสงบ...และอ้างว้างเปลี่ยนเหงา


“ท่านพ่อ ท่านแม่...” หากทว่าเมื่อร่างของราชินีหิมะก้าวขึ้นไปยืนเบื้องหน้าแผ่นหินนั้น บรรยากาศอึมครึมราวกับกาลเวลาได้หยุดนิ่งก็พลันเคลื่อนไหว สายลมเย็นโชยผ่านโบกพัดยอดหญ้าให้ลู่เอน เอลซ่าวาดมือเบาๆ บนอากาศ เกล็ดน้ำแข็งส่องประกายระยิบระยับก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นดอกไม้ช่อหนึ่ง


หญิงสาววางช่อดอกไม้หน้าแผ่นหิน พลางมองเลยไปยังอีกด้านหนึ่งของเนินเขา จากตรงนี้สามารถมองเห็นเอเรนเดลล์ได้ทั้งเมือง อีกทั้งยังมองเห็นปราสาทได้ชัดเจน เป็นทิวทัศน์ที่ทำให้รู้สึกว่าแม้พวกท่านจะไม่ได้อยู่กับเธอแล้ว...พวกท่านก็ยังเฝ้ามองและปกป้องคุ้มครองเอเรนเดลล์เสมอมา


เอลซ่าเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของแผ่นหิน วรองค์บอบบางค่อยๆ ทรุดนั่งลงพิงช้าๆ พลางทอดสายตามองไปยังเมืองอันเป็นที่รัก สีขาวของหิมะเริ่มกลับกลายเป็นสีสันอันสดใส ดูเหมือนว่าภายในเมืองจะเริ่มตกแต่งสถานที่กันแล้ว และเมื่อมองจากตรงนี้...ก็เหมือนได้เห็นเอเรนเดลล์กำลังผลิบานท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน


รอยยิ้มบางประดับบนดวงหน้างดงาม


“ทอดพระเมตรอยู่รึเปล่าเพคะ อันนากำลังร่ายมนต์...” สองมือเล็กๆ ยื่นไปข้างหน้า หอบเอาเกล็ดหิมะที่ตกค้างหลงเหลืออยู่ภายในเมืองบางส่วนให้ลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วสลายมันให้กลายเป็นเกล็ดประกายระยิบระยับ “ถึงแม้จะไม่ได้มีพลังเวทมนต์ แต่น้องก็มีอำนาจวิเศษที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย”


เพราะในหัวใจของน้องสาวของเธอเปี่ยมไปด้วยความรัก


และไม่มีอำนาจใดในโลกนี้จะยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นได้อีกแล้ว


/---/


“โว้วววววววว” เสียงหัวเราะครื้นเครงดังพร้อมกันกับเสียงคำรามที่ตามมาติดๆ “ไม่เอาน่าฟิล ข้าแค่แอบเข้าไปในโรงงานของนอร์ธตอนเจ้าเผลอเอง มีอะไรให้ต้องหัวเสียขนาดนั้น ฮ่า! ความสำเร็จครั้งแรกในสามร้อยปีเชียวนะเนี่ย ข้าจะต้องบันทึกวันนี้เอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เสียหน่อยแล้วว่าวันนี้เป็นวันที่แจ็คฟรอสต์สามารถเล็ดรอดสายตาเยติเข้าไปในรังของซานตาคลอสต์ได้! ฮ่าๆๆๆ”


“กรรรรรร”


“ข้าไม่ได้เอาอะไรติดมือมาด้วยซะหน่อย เอาน่า รู้ว่าเจ้าเสียหน้า แต่ก็ตั้งสามร้อยปีเชียวนะ หยวนให้ข้าหน่อยจะเป็นไรไป!”


...ใช่แล้ว เสียงหัวเราะพร้อมทั้งถ้อยคำกวนประสาท ป่วนหัวคนอื่นเช่นนี้จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเทพพิทักษ์แห่งฤดูหนาว... แจ็คฟรอสต์


เขากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าขั้วโลกเหนือ ไม่ไกลจากรังของนอร์ธนัก มีฟิล เยติผู้เฝ้าประตูของซานตาคลอสต์วิ่งไล่ตามอยู่ด้านล่างอย่างไม่ลดละ ส่วนสาเหตุก็คงรู้กันแล้ว... นั่นล่ะ นอกจากก่อเรื่องแล้วแจ็คจะทำอะไรได้อีกกันล่ะ!


เมื่อบินขึ้นสูง สูงจนเหนือเมฆ สูงจนมองพื้นดินเบื้องล่างไม่เห็นและเยติก็เป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ เท่าปลายเข็ม แจ็คจึงค่อยลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า เหนือเมฆลมสงบ เขาจึงไม่ต้องหาอะไรเกาะไว้ ดวงจันทร์กลมโตส่องประกายทำให้ข้างบนนี้ดูเหมือนจะเป็นดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่ถูกตัดขาดออกมาเลยทีเดียว


ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับชัยชนะครั้งแรกในสามร้อยปี แจ็คก็พลันรู้สึกถึงสายลมที่แหวกออกเป็นทางราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งตรงมาทางเขาด้วยความรวดเร็ว!


ทว่าถึงแม้จะรู้สึกตัว แต่สิ่งนั้นเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วเกินไป เกินกว่าที่เขาจะหลบทัน  ดังนั้นเอง แจ็คจึงถูกเจ้าสิ่งปริศนานั้นพุ่งชนเข้าเต็มๆ!!


แทบจะร่วงลงจากฟ้าตกลงมาตายรอบสองเลยทีเดียว


“บินประสาอะไรของเจ้า ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยรึไง!!!” ยังไม่ทันเห็นว่าสิ่งที่พุ่งเข้าชนนั้นคืออะไร แจ็คก็ชิงตวาดไปก่อนทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าสิ่งนั้นมาดีหรือมาร้าย


ทว่าดูเหมือนจะโชคจะยังเข้าข้างแจ็ค เนื่องจากเขาไม่ได้ถูกสอยซ้ำเป็นรอบที่สอง ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ร่วงจริงๆ แน่ และดูเหมือนคนที่ถูกเขาด่าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ เสียด้วย


“ฮายยยยย อรุณสวัสดิ์แจ็ค! แจ็คฟรอสต์! ไหนๆ เจ้ามีคนที่อยากให้ข้าแผลงศรใส่ให้มั้ย เห็นแก่ที่เจ้าเป็นรุ่นน้อง ข้าจะบริการเป็นพิเศษเลยเชียว ไหนๆ สาวผู้โชคดีคนนั้นอยู่ที่ไหนเอ่ย!?”  


แม้เสียงนั้นจะไม่ได้เรียกว่าคุ้นเคย แต่แจ็คก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะสามารถลืมเจ้าของเสียงนี้ลง “วิลเลี่ยน วาเลนไทน์!”


คนตรงหน้าเขาเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ขนาดตัวพอๆ กับเหล่าเอลฟ์ในรังของนอร์ธ มีปีกเล็กๆ อยู่กลางหลังสีขาวน่าเอ็นดู แต่หน้าตากลับเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายเหลือใจ(ซึ่งเจ้าตัวมั่นอกมั่นใจเอาการว่านี่ล่ะสเป็คของสาวๆ) นิ้วมือเล็กป้อมควงปืนกลขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ปกติเจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้ตรงส่วนไหน อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยนี้มีคู่รักถือกำเนิดขึ้นมาก การยิงศรแต่ละดอกด้วยคันธนูจึงไม่ทันใจ วิลเลี่ยนจึงไปโมฯของวิเศษคู่กายของตนใหม่ให้กลายเป็นปืนกลขนาดใหญ่เสียเลย


ถ้าไม่บอกใครจะเชื่อนะว่านี่ล่ะ “คิวปิด” เทพแห่งความรัก


แจ็คกลอกตา รู้สึกเซ็งขึ้นมาจับจิต ลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้มันเริ่มแล้วนี่นา... วันวาเลนไทน์


เนื่องจากว่าเทศกาลแห่งความรักนี้ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเหมือนอีสเตอร์หรือคริสมาสต์ ดังนั้นวิลเลี่ยน วาเลนไทน์จึงตื่นขึ้นเพียงแค่ปีละครั้ง และดูเหมือนการหลับชาร์จพลังงานตลอดปีนี้เองจะส่งผลให้เทพแห่งความรักมีพลังงานเหลือล้น ไฮเปอร์เสียจนบางครั้งแจ็คแทบจะอดใจไม่ไหว อยากจะเตะหมอนี่ให้ปลิวตกลงไปอยู่ขั้วโลกใต้แผลงศรใส่เพนกวินให้มันรู้แล้วรู้รอด


“ข้าไม่มีใครทั้งนั้นล่ะ” รู้จักกันมาสามร้อยปี แจ็คก็ตอบแต่ประโยคนี้สามร้อยปี แหงล่ะ ในเมื่อไม่มีใครมองเห็นเขา จะให้ไปปิ๊งกับสาวที่ไหนได้เล่า (อย่าพูดแม้แต่ตัว ท.ทหารของตัว ทูธ ออกมาเชียว ไม่สิ แค่คิดก็ห้าม!)


ไม่สิ...


แจ็คชะงักไปเมื่อพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


มีอยู่นี่นา คนที่มองเห็นเขา...ของขวัญที่เขาได้รับเมื่อค่ำคืนคริสมาสต์ที่ผ่านมา


...แม่สาวน้อยคนนั้น...


“อ๊ะๆๆ เจ้าโกหกเรื่องนี้กับข้าไม่ได้หรอกนะ” วิลเลี่ยนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนแทบติดกัน ริมฝีปากฉีกยิ้มชั่วร้ายไม่น่าไว้ใจสุดๆ “อย่าโกหกเสียให้ยากเลย... เจ้ามีใครบางคนที่กำลังเฝ้าคิดถึงอยู่ใช่ม๊า...”


แจ็คหลุดออกจากภวังค์ในทันที เขาปั้นสีหน้ารำคาญ เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพแห่งความรักแล้วเหมือนว่ามันจะไม่ได้ส่งผลใดๆ เลย แต่ก็ยังดีที่วิลเลี่ยนเลิกพูดจายั่วโมโหเขาเสียที ไม่อย่างนั้นปีนี้คงมีคู่รักหลายคู่ที่ต้องคลาดกันเพราะเทพแห่งความรักถูกจับแช่เป็นก้อนน้ำแข็งอยู่ขั้วโลกเหนือแหงๆ


เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องตัวแสบไม่ยอมคายความลับออกมา วิลเลี่ยนจึงได้แต่ยักไหล่ เอาเข้าจริงแล้วถึงเขาจะควงปืนไปมา แต่มันก็ไม่ได้มีพลังทำลายล้างเหมือนอย่างเทพพิทักษ์ตนอื่นๆ


เทพแห่งความรัก...ก็แค่ชี้นำความกล้า... ไม่ใช่เวทมนต์หรืออำนาจครอบงำใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่พอจะควบคุมความรักได้หรอก งานของวิลเลี่ยนก็แค่ยิงศรออกไป ชี้นำให้หนุ่มสาวที่ต้องตาต้องใจแต่ไร้ความกล้าได้มีโอกาส...สร้างโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาได้พูดคุยทำความรู้จักกัน สร้างบรรยากาศชักนำให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล และหลังจากนั้น...ความรักจะเป็นสิ่งชักนำพวกเขาเอง หรืออันที่จริง...พวกเขาต่างหากที่ช่วยกันสานรักขึ้นมา


นั่นล่ะ มนต์มายาของวิลเลี่ยน วาเลนไทน์


แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ชื่อวิลเลี่ยน(Villain)นี่ฟังแย่ชะมัด เขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายนะ ถึงจะแบกปืนบินไปมาก็เถอะ ไม่รู้ตอนตั้งชื่อบุรุษบนดวงจันทร์คิดอะไรอยู่ ไม่สิ ชื่อแจ็คของแจ็คฟรอสต์ก็มีมาแต่เดิมนี่นะ หรืออันที่จริงก่อนเขาจะมาเป็นวิลเลี่ยน วาเลนไทน์ เขาก็เป็นวิลเลี่ยนมาก่อนอยู่แล้ว? อื้ม...เอาไว้ถ้ามีโอกาสค่อยลองไปถามทูธดูก็แล้วกัน


“เจ้ากำลังจะไปไหน” ก่อนที่จะได้คิดอะไรนอกเรื่องไปมากกว่านี้ คำถามของแจ็คก็ดึงเขาออกจากโลกส่วนตัวเสียก่อน


วิลเลี่ยนกลอกตาไปมาอยู่สองทีก่อนที่เจ้าตัวจะฉีกยิ้มกว้างแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงสุดๆ ว่า “เอเรนเดลล์!


แจ็คเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไมถึงต้องเป็นที่นั่น?” ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ นี่นา


“...เพราะ.............ที่นั่นมีอะไรน่าสนุกอยู่ไง! ฮ่าฮ่า! อยากรู้ก็ตามมาสิ แจ็ค!” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร ชายร่างเล็กก็กระโดดไปยืนบนปืนกล และทันทีที่นิ้วมือเล็กๆ นั่นลั่นไก กระสุนมากมายก็ถูกยิงออกมาเป็นแรงส่งให้เทพแห่งความรักบินจากไปด้วยความรวดเร็ว เพียงพริบตาร่างของอีกฝ่ายก็กลายเป็นจุดเล็กๆ อยู่บนเส้นขอบฟ้าสุดสายตา


กระสุนที่ถูกยิงร่วงหล่นลงไปข้างล่าง เมื่อมองให้ชัดๆ แล้วก็พบว่ามันเป็นรูปหัวใจสีชมพู เมื่อยามที่ตกลงถึงพื้นโลก มันก็ลอยไปหาผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่ เกิดอุบัติเหตุเล็กๆ ทำให้ใครบางคนเดินชนกัน เกิดเหตุบังเอิญให้คนคู่หนึ่งทำสิ่งของตกแล้วก้มลงเก็บ มุขที่เห็นตามนิยายน้ำเน่าทั้งหลายน่ะ เกิดขึ้นบ่อยเป็นพิเศษในวันนี้เพราะแบบนี้ล่ะ!


“เฮ้ย! อะไร แล้วทำไมข้าต้องตามเจ้าไป? .........เดี๋ยวนะ เอเรนเดลล์งั้นเหรอ........?” แจ็คมองอีกฝ่ายที่ปรู๊ดปร๊าดจากไปอย่างมึนงง หากทว่าวินาทีต่อมาเขาก็ต้องเบิกตากว้าง “..................เอลซ่า!!” เมื่อความคิดทุกอย่างบรรจบลงที่แม่สาวน้อยคนนั้นแล้ว แจ็คก็ไม่ยอมปล่อยให้เวลาเสียเปล่าไปแม้แต่วินาทีเดียว เทพแห่งฤดูหนาวรีบตะโกนสั่งสายลมให้พัดพาตนตามติดเจ้าวายร้ายตนนั้นไปอย่างรวดเร็ว!!


เรื่องอะไรที่แจ็คจะยอมให้วิลเลี่ยนแผลงศรใส่เอลซ่า ไม่มีทาง! ไม่มีวัน!


...อันที่จริงแจ็คก็ลืมไปเสียสนิท...ว่าต่อให้วิลเลี่ยนทำเช่นนั้นจริงๆ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขานี่นา หน้าที่ของผู้พิทักษ์คือการปกป้องเด็กๆ ต่อให้รวมแม่สาวน้อยคนนั้นเป็นหนึ่งในหมู่เด็กที่เขาต้องปกป้องก็เถอะ แต่เทพแห่งความรักไม่มีทางทำอะไรที่จะก่อให้เกิดอันตรายแน่


แต่ดูเหมือนเจ้าซื่อบื้อนั่นจะไม่ได้รู้สึกตัวเอาเสียเลย


วิลเลี่ยนเหลือบมองผู้พิทักษ์ที่ตามตนมาติดๆ พลางหัวเราะลั่นราวกับวายร้ายที่เห็นทุกอย่างเป็นไปตามแผน


ก็บอกแล้ว...ว่าเทพแห่งความรักทำได้เพียงแค่ชักนำ


เอ๊ะ ก็บอกว่าชักนำไง ไม่ได้ล่อลวงสักหน่อยนึง!







----------------------1/2----------------------








ฮึฮึฮึฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า
แงงงงง
ลงทีละครึ่งอีกแล้ว เขาว่ากันว่าคนเราจะต้องมีความเสมอต้นเสมอปลายถึงจะดีใช่มั้ยล่า เพราะงั้นก็เลยเขียนไม่ทันอย่างเสมอต้นเสมอปลายไง๊!
#โดนชก
ฮือออ /กราบ
ฟิคคริสมาสต์คราวที่แล้วก็ลงจนจบทันก่อนวาเลนไทน์อ่ะนะ เพราะงั้นฟิควาเลนไทน์จะลงให้จบทันก่อนอีสเตอร์ก็แล้วกันนะคะ! #อุ้กใครเฟวี้ยงรองเท้ามา ว่าแต่ปีนี้อีสเตอร์มันวันไหนกันนะ... #...
เปลี่ยนเรื่อง
ตอนเขียนอยากจะอุทานว่าเฟวี้ยยย ฮือ เวลาที่เขียนอันนา แจ็ค หรือวิลเลี่ยนเนี่ย ในหัวมันจะมีเป็นภาพวิ่งปรู๊ดปร๊าดเฟี้ยวฟ้าวเป็นฉากๆ ตอนๆ เลย ซึ่งการเขียนให้ได้จังหวะระดับนั้นม่าง...ม่างงง ม่างงงงงงง สรุปก็คือเอลซ่าเขียนง่ายที่สุดแล้วค่ะ เยือกๆ เย็นๆ สงบๆ ...ที่สำคัญคือไม่ปรู๊ดปร๊าดน่ะ เป็นฟิคที่มูฟเม้นต์สูงที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยก็ว่าได้... //แน่นอนว่าสูงกว่าฟิคบาส...เพราะเราข้ามฉากเล่นบาสไปยังไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า #โดนชกซ้ำ
วิลเลี่ยนเป็น OC ค่ะ ตอนแรกตั้งใจจะให้ชื่อว่า Variant เวลาตั้งชื่อเรื่องจะได้เอาเป็นชื่อ Variantine #สิ้นคิดอีกแล้วนะ… แต่ไปๆ มาๆ ก็จบลงที่ชื่อ Villain อย่างงงๆ
คงจะออกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ไม่มีโอกาสผุดไปเรื่องอื่น (แอบเสียดาย) แต่ก็ชอบนายนี่มากๆ อ่ะนะ ...ในด้านการจีบปากจีบคอพูดแซะ #นี่มันอินเนอร์…
อุ้ก ไปๆ มาๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นสปอยล์ครึ่งหลัง งั้นขอจบทอล์กเอาไว้แต่เพียงเท่านี้
สวัสดีวันมาฆะบูชาแห่งความรักค่ะ!


เย้!!
14/02/2014 กับทอล์กที่ไม่รู้ว่าจะยาวไปไหน